AllthingsBeauty
allthingsbeauty-logo

เคล็ดลับและแรงบันดาลใจ
จากผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและเส้นผมของยูนิลีเวอร์

ผู้หญิง เอเชีย ไว้ผมยาว สีดำ กำลังส่องกระจก เอามือจับหน้า
ผิวโดนแดดทำร้าย จากการไม่ทาครีมกันแดด

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าใช้ชีวิตในประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี แบบไม่ทาครีมกันแดดเลย

ในประเทศที่แสงแดดแรงแบบเมืองไทย ถ้าเราไม่ปกป้องผิวด้วยครีมกันแดด มาดูกันว่าจะส่งผลต่อผิวเราอย่างไรบ้าง

December 26, 2024

รังสียูวีส่งผลต่อผิวอย่างไร>

UV Index บอกว่าเราเสี่ยงแค่ไหน>

อันตรายที่ซ่อนในแสงแดด>

ผลกระทบต่อผิวในระยะสั้นและระยะ 5 ปีหากไม่ทาครีมกันแดดเลย>

ระยะสั้น>

ระยะ 1-3 เดือน>

ระยะ 6-12 เดือน>

ระยะเวลา 2-3 ปี>

ระยะเวลา 4-5 ปี>

หลัง 5 ปี>

ปัจจัยเสริมที่ทำร้ายผิว>


วิธีป้องกันและการฟื้นฟูผิว>

Editor’s choices: ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เราแนะนำ>


หลายคนอาจคิดว่าการทาครีมกันแดดเป็นเพียงขั้นตอนเสริมในการดูแลผิว หรือจำเป็นเฉพาะเวลาไปทะเลเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว การไม่ทาครีมกันแดดในประเทศที่มีแสงแดดจัดอย่างประเทศไทย อาจส่งผลร้ายต่อผิวมากกว่าที่คิด ทั้งความหมองคล้ำ ริ้วรอยก่อนวัย ไปจนถึงความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง มาดูกันว่าการใช้ชีวิตในเมืองไทยโดยไม่ทาครีมกันแดดเป็นเวลา 5 ปี จะส่งผลต่อผิวของเราอย่างไรบ้าง

แต่ก่อนไปถึงตรงนั้น เราอยากชวนคุณไปทำความเข้าใจเรื่องของรังสียูวีและ UV Index กันก่อนสักหน่อย เพื่อจะได้เข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนค่ะ

รังสียูวีส่งผลต่อผิวอย่างไร

รังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวี เป็นพลังงานที่มาพร้อมกับแสงแดด มีความยาวคลื่นที่ต่ำกว่าแสงระหว่าง 40 ถึง 400 นาโนเมตร จึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งรังสียูวีแบ่งแบ่งแยกย่อยเป็น ยูวีเอ (UVA) ยูวีบี (UVB) และ ยูวีซี (UVC) แต่เราไม่จำเป็นต้องพูดถึงรังสี UVC เพราะรังสีชนิดนี้ไม่สามารถส่องลงมาถึงพื้นโลกได้ จึงไม่ส่งผลต่อผิวได้

สำหรับ รังสียูวีเอ เป็นรังสีที่มีช่วงความยาวคลื่นยาว 320-420 นาโนเมตร และมีปริมาณมากในแสงแดด รังสีชนิดนี้ไม่ทำให้ผิวไหม้ แต่สามารถทะลุทะลวงลึกถึงชั้นคอลลาเจน และอิลาสติน ซึ่งส่งผลต่อผิว ทำให้เกิดริ้วรอย หย่อนคล้อย และแก่ก่อนวัย และอาจทำลายโครงสร้างดีเอ็นเอ สาเหตุของมะเร็งผิวหนังด้วย

ส่วนรังสียูวีบี เป็นรังสีที่มีช่วงความยาวคลื่น 290-320 นาโนเมตร เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่ายูวีเอ รังสีชนิดนี้ไม่ค่อยทะลุทะลวงผิวมากนัก แต่สามารถทำลายผิวหนังชั้นนอกอย่างรุนแรง ทำให้ผิวไหม้แดด ผิวหนังอักเสบ ลอก คล้ำ และมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน

UV Index บอกว่าเราเสี่ยงแค่ไหน

ผู้หญิง เอเชีย ไว้ผมยาว สีดำ หันข้าง ยกมือขวา ขึ้นป้องแดด
ประเทศไทยมีค่า UV Index สูง หากไม่ปกป้องผิวให้ดี จะส่งผลเสียในระยะยาวได้ (Credit: Shutterstock)

ในการประเมินความรุนแรงของแสงแดด นักวิทยาศาสตร์ใช้ค่า UV Index หรือดัชนีรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความเข้มของรังสียูวี ที่ส่องลงมายังพื้นผิวโลก หรือพูดให้เข้าใจง่ายคือ เป็นการวัดว่าแดดแรงแค่ไหนนั่นเอง

การวัดความรุนแรงของแสงแดดนั้นใช้ค่า UV Index ซึ่งแบ่งระดับความเสี่ยงต่อร่างกายจากน้อยไปมาก เริ่มจากระดับต่ำที่ 1-2 ซึ่งมีผลต่อผิวหนังน้อย ระดับปานกลางที่ 3-5 ที่แสงแดดเริ่มมีผลต่อผิวหนังและควรมีการป้องกันพื้นฐาน ระดับสูงที่ 6-7 ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังและทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง ระดับสูงมากที่ 8-10 ที่รังสียูวีเริ่มส่งผลเสียชัดเจนต่อทั้งผิวหนังและดวงตา และระดับเป็นอันตรายที่ 11 ขึ้นไป ซึ่งแสงอาทิตย์สามารถทำให้ผิวไหม้และส่งผลต่อดวงตาได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที

ประเทศไทยนั้น มีค่า UV Index เฉลี่ยอยู่ในระดับสูงมากคือ 10-12 โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้ว ถือว่าสูงมาก อย่างเช่นญี่ปุ่นและเกาหลีที่มีค่าเฉลี่ยเพียง 4-8 ในฤดูร้อน หรือแม้แต่สิงคโปร์ที่อยู่ในเขตร้อนเช่นเดียวกัน ก็ยังมีค่าเฉลี่ยที่ 9-10 การใช้ชีวิตในประเทศที่มีแสงแดดรุนแรงเช่นนี้โดยไม่มีการป้องกันที่เหมาะสม จึงส่งผลกระทบต่อผิวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อันตรายที่ซ่อนในแสงแดด

การใช้ชีวิตในประเทศไทยโดยไม่ทาครีมกันแดดอาจฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผลกระทบที่ตามมานั้นร้ายแรงกว่าที่คิด แสงแดดไม่เพียงทำให้ผิวคล้ำเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบลึกถึงระดับเซลล์ ซึ่งผิวที่โดนแดดนานๆ และไม่ได้รับการป้องกันจากรังสียูวี อาจนำไปสู่ปัญหาผิวหรือสุขภาพอื่นๆ โดยปัญหาที่พบได้บ่อยคือ

1. ริ้วรอยก่อนวัย: รังสียูวีทั้งสองชนิดเร่งการเสื่อมของผิว ทำให้เกิดริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และผิวหย่อนคล้อย โดยรังสียูวีทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินที่ช่วยให้ผิวกระชับ

2. ความผิดปกติของเม็ดสี: รังสียูวีกระตุ้นการผลิตเมลานิน และทำให้เกิดรอยดำ กระ จุดด่างดำ และสีผิวไม่สม่ำเสมอ

3. ผื่นแอคตินิค เคราโตซิส (Actinic Keratosis): มักเกิดในบริเวณที่สัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน เช่น แขน หลังมือหรือใบหน้า มีลักษณะผื่นผิวหนังที่หยาบ เป็นขุยหรือตกสะเก็ด และอาจพัฒนาเป็นมะเร็งผิวหนังได้

4. ความเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง: การสัมผัสรังสียูวีเป็นระยะเวลานานเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง รวมถึงมะเร็งเบซอลเซลล์และเมลาโนมา รังสียูวีสามารถส่งผลกระทบในระดับเซลล์ นำไปสู่การกลายพันธุ์และการเกิดมะเร็งได้

5. การกดภูมิคุ้มกัน: รังสียูวีกดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ ลดความสามารถของผิวในการต่อสู้กับการติดเชื้อ

ผลกระทบต่อผิวในระยะสั้นและระยะ 5 ปีหากไม่ทาครีมกันแดดเลย

ผู้หญิง เอเชีย ไว้ผมยาว รวบหางม้า มีที่คาดผม หันข้าง กำลังวิ่งสู้แดด
ผิวจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่ทาครีมกันแดดตลอด 5 ปี (Credit: Shutterstock)​

ถึงตรงนี้หลายคนคงเข้าใจถึงอันตรายของรังสียูวีที่มากับแสงแดดมากขึ้นแล้ว แต่ลองมาดูการเปลี่ยนแปลงของผิวและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นตามระยะเวลา หากเราละเลยการทาครีมกันแดดกันค่ะ

ระยะสั้น

การโดนแดดที่มีค่า UV Index สูงมาก แม้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 15- 20 นาที ก็อาจส่งผลให้เกิดผิวไหม้แดด หรือผิวอักเสบ มีอาการแสบร้อน เกิดผื่นแดง และอาจมีอาการคันหรือลอกเป็นขุย แม้ไม่มีอาการไหม้แดด หรือไม่ได้โดนแดดจัดโดยตรง แต่อาจโดนแดดเป็นเวลาต่อเนื่องโดยไม่ป้องกันให้เหมาะสม ผิวจะเริ่มคล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากร่างกายพยายามสร้างเม็ดสีเมลานินเพื่อปกป้องตัวเองจากรังสียูวีที่มากเกินไป

ระยะ 1-3 เดือน

​​ในช่วงสามเดือนแรก คุณจะเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวอย่างชัดเจน สีผิวจะเข้มขึ้น 1-2 เฉด ผิวที่เคยเนียนนุ่มจะกลายเป็นผิวแห้งกร้าน หยาบกระด้าง เมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดจัด อาจรู้สึกแสบร้อนผิวมากกว่าปกติ นอกจากนี้ยังพบว่ารูขุมขนเริ่มกว้างขึ้นเนื่องจากผิวพยายามปรับตัวรับมือกับสภาวะแวดล้อมที่รุนแรง จุดด่างดำเล็กๆ จะเริ่มปรากฏให้เห็น โดยเฉพาะบริเวณแก้มที่สัมผัสแสงแดดโดยตรง

ระยะ 6-12 เดือน

เมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือนถึง 1 ปี ปัญหาผิวจะทวีความรุนแรงขึ้น ฝ้าและกระที่เคยเป็นเพียงจุดจางๆ จะเริ่มเด่นชัด ผิวหน้าที่เคยกระจ่างใสจะดูหมองคล้ำ ขาดความสดใส รอยดำจากสิวหรือแผลที่เคยหายได้ในเวลาไม่นาน กลับกลายเป็นรอยที่ติดทนนานขึ้น ความชุ่มชื้นของผิวลดลงอย่างเห็นได้ชัด และที่น่ากังวลคือการเกิดภาวะผิวไวต่อแสง ทำให้ผิวแพ้แดดง่ายขึ้นกว่าเดิม

ระยะเวลา 2-3 ปี

ในช่วงปีที่ 2-3 ความเสียหายจะลุกลามถึงโครงสร้างผิวชั้นลึก เริ่มเห็นริ้วรอยละเอียดโดยเฉพาะรอบดวงตา สีผิวไม่สม่ำเสมอชัดเจน มีทั้งจุดด่างดำและฝ้ากระจายทั่วใบหน้า ผิวเริ่มมีอาการหย่อนคล้อย เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังอาจปรากฏให้เห็น เนื่องจากคอลลาเจนใต้ผิวถูกทำลายมากขึ้น ส่งผลให้ผิวบางลงและสูญเสียความแข็งแรง

ระยะเวลา 4-5 ปี

เมื่อเวลาผ่านไป 4-5 ปี ความเสียหายจะรุนแรงขึ้นจนเห็นได้ชัด ริ้วรอยลึกปรากฏชัดเจนโดยเฉพาะบริเวณร่องแก้มและหน้าผาก ผิวหย่อนคล้อยจนเห็นการเปลี่ยนแปลงของโครงหน้า ความยืดหยุ่นของผิวลดลงอย่างมาก อาจพบจุดก่อนมะเร็งผิวหนังที่เรียกว่าผื่นแดด actinic keratosis ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม DNA ของเซลล์ผิวหนังถูกทำลายสะสม เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง รอยดำต่างๆ ฝังลึกจนการรักษาให้จางลงทำได้ยากมาก

หลัง 5 ปี

ผลกระทบจะรุนแรงถึงขั้นเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนังชนิดต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็งเบเซลเซลล์ (Basal Cell Carcinoma) และมะเร็งสเควมัสเซลล์ (Squamous Cell Carcinoma) ที่พบได้บ่อยในผู้ที่ได้รับแสงแดดสะสมเป็นเวลานาน นอกจากนั้น ผิวจะเหี่ยวย่นก่อนวัย ทำให้ดูแก่กว่าอายุจริง 5-10 ปี การฟื้นฟูผิวต้องใช้การรักษาเฉพาะทางและใช้เวลานาน ระบบภูมิคุ้มกันของผิวหนังอ่อนแอลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และโครงสร้างผิวชั้นลึกเสียหายจนการซ่อมแซมตัวเองของผิวทำได้ช้าลง

การป้องกันผิวจากแสงแดดตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะความเสียหายบางอย่างที่เกิดขึ้นกับผิวอาจไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิมได้ การใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ ร่วมกับการหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงที่รุนแรง จะช่วยชะลอความเสื่อมของผิว และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายในอนาคต

ปัจจัยเสริมที่ทำร้ายผิว

สภาพแวดล้อมในเมืองไทยยังมีปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความรุนแรงของผลกระทบจากรังสียูวี ไม่ว่าจะเป็นอากาศร้อนชื้นทำให้เหงื่อออกง่าย ส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นและอ่อนแอลง มลภาวะทางอากาศโดยเฉพาะ PM 2.5 ทำปฏิกิริยากับรังสียูวี กลายเป็นอนุมูลอิสระที่ทำร้ายผิว นอกจากนี้ การสะท้อนของแสงจากตึกสูง พื้นถนน และแหล่งน้ำ ยังเพิ่มความเข้มของรังสียูวี ที่มากระทบผิวได้ถึง 15-85% ทำให้ผิวได้รับความเสียหายมากขึ้น

วิธีป้องกันและการฟื้นฟูผิว

ผู้หญิง เอเชีย ไว้ผมยาว สีดำ สวมหมวกปีกกว้าง สีเหลือง ใช้มือจับไหล่
ควรทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องโดนแดด (credit: shutterstock)

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30+ แต่ถ้าช่วงฤดูร้อน หรือคนที่ต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน แนะนำให้เลือก SPF 50+ และ PA++++ โดยควรทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 20 นาที และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง ร่วมกับการใช้อุปกรณ์ป้องกันแสงแดดอื่นๆ เช่น ร่ม หมวก และแว่นกันแดด 

สำหรับการฟื้นฟูผิวที่โดนแดดเป็นระยะเวลานานจนผิวหมองคล้ำ แนะนำให้เริ่มบำรุงด้วยโลชั่นหรือครีมบำรุงผิวที่เติมความชุ่มชื้นให้กับผิว เพื่อให้ผิวคล้ำแดดได้ฟื้นตัวและพร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนถัดไป นอกครีมแล้ว อาจบำรุงด้วยการมาส์กหน้าเพิ่มเติมก็ได้เช่นกัน และไม่ควรลืมใช้ครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อปกป้องผิวไม่ให้คล้ำเสียมากขึ้น

หลังจากที่บำรุงจนรู้สึกว่าผิวหน้าชุ่มชื้นดีแล้ว เริ่มใช้ครีมหรือโลชั่นสูตรไวท์เทนนิ่ง หรือสูตรช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยอาจเลือกจากผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล หรือไนอาซิไมด์ อีรีซอร์ซินอล ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้มีคุณสมบัติช่วยลดความหมองคล้ำและลดเลือนจุดด่างดำ

นอกเหนือจากการบำรุงผิว และใช้ครีมกันแดด ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีแรงที่สุด ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันแดดเพิ่มเติมอย่าง เสื้อแขนยาว หมวกและแว่นกันแดด รวมถึงการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม คือ เลือกรับประทานอาหารที่ประโยชน์ ช่วยบำรุงผิวและการดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ก็จะช่วยให้ผิวของคุณชุ่มชื้นและแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก และทำให้การบำรุงผิวด้วยครีมต่างๆ เห็นผลในระยะเวลาไม่นาน

Editor’s choices: ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เราแนะนำ

ในปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสภาพอากาศในประเทศไทย

สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำและต้องการความกระจ่างใส พอนด์ส ยูวี มิราเคิล โพรเทค แอนด์ รีแพร์ ไบรท์ เอสพีเอฟ 50+ พีเอ++++ ​เป็น​ตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยเทคโนโลยี Dual Protection ที่ปกป้องผิวจากทั้งรังสียูวีเอและยูวีบีอย่างครอบคลุม ผลิตภัณฑ์นี้มีส่วนผสมของไนอาซอร์ซินอลที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้น สามารถเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 7 วัน โดยจุดดำและฝ้าแดดจะดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ เนื้อครีมยังเป็นแบบเนื้อพุดดิ้งบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่ทิ้งคราบขาว และไม่ก่อให้เกิดความมันบนใบหน้า ที่สำคัญคือปราศจากแอลกอฮอล์ จึงอ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว

สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งและต้องการความชุ่มชื้น พอนด์ส ยูวี มิราเคิล โพรเทค แอนด์ รีแพร์ ไฮเดรต เอสพีเอฟ 50 พีเอ++++ คือคำตอบที่ใช่ ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยี Dual Protection เช่นเดียวกัน แต่เพิ่มเติมด้วยพลังของไฮยา-เซราไมด์, X3 พลังความชุ่มชื้น ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก ผู้ใช้จะสัมผัสได้ถึงความนุ่มชุ่มชื้นผิวทันทีที่ใช้ผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ครีมเนื้อพุดดิ้งบางเบา ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ไม่ทิ้งคราบขาว และปราศจากแอลกอฮอล์

การฟื้นฟูผิวที่ได้รับความเสียหายจากแสงแดดต้องอาศัยการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูทั้งกลางวันและกลางคืน

สำหรับการฟื้นฟูในเวลากลางวัน พอนด์ส ไบรท์ มิราเคิล อัลทิเมท คลาริตี้ เซรั่ม ไนอาซอร์ซินอล เป็นนวัตกรรมที่ช่วยจัดการปัญหาผิวหมองคล้ำได้อย่างครอบคลุม ด้วยพลังของไนอาซินามายด์ ที่ช่วยลดเลือนจุดดำทั้งจากสิว ฝ้า และกระแดด ร่วมกับอี-รีซอร์ซินอลที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว และวิตามินซีที่ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

สำหรับการฟื้นฟูในเวลากลางคืน พอนด์ส ไบรท์ มิราเคิล อัลทิเมท คลาริตี้ ไนท์ เซรั่ม ไนอาซอร์ซินอล ถูกพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงกระบวนการซ่อมแซมตามธรรมชาติของผิวในเวลากลางคืน ซึ่งทำงานได้ดีกว่าเวลากลางวันถึง 2 เท่า ด้วยส่วนผสมของไนอาซอร์ซินอลในความเข้มข้นที่สูงที่สุด ผสานการทำงานของไนอาซินามายด์ อี-รีซอร์ซินอล และวิตามินซี ช่วยลดจุดด่างดำ เพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว และทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น

แชร์

หัวข้อที่เกี่ยวข้อง