เคล็ดลับและแรงบันดาลใจ
จากผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและเส้นผมของยูนิลีเวอร์
รักษารังแค ไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ใครๆก็อยากให้รังแคหมดไป ไม่ว่าจะเป็นน้อย หรือเป็นมาก ก็ล้วนสร้างความรำคาญใจ และเป็นปัญหาที่ใครหลายคนอยากกำจัดไปให้สิ้นซาก อาการที่เกิดขึ้น ทั้งอาการคัน หนังศีรษะแห้ง และความรู้สึกระคายเคืองต่างๆ เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า เราควรต้องไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว หรือ เรายังสามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตนเองหรือไม่
All Things Beauty มีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในเรื่องรังแค เริ่มจากสร้างความเข้าใจถึงต้นตอ และสาเหตุของการเกิดรังแคก่อน จากนั้นเราจะรักษารังแคได้อย่างไร ไปจนถึงเราต้องปฏิบัติตามขั้นตอนอะไรบ้าง ที่จะช่วยกำจัดรังแคให้หมดไป
สิ่งสำคัญประการแรกคือ เราจะต้องสังเกตดูก่อนว่า เราเป็นรังแคอยู่ที่ระดับความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน โดย Peter Bailey ผู้จัดการทางเทคนิคเรื่องการดูแลเส้นผมของยูนิลีเวอร์ กล่าวว่า “ประชากร (ผู้ใหญ่) ราวครึ่งหนึ่งของประชากรทั่วโลก ประสบปัญหารังแค โดยจะมีสะเก็ดเล็กๆ สีขาวๆ อยู่บนเส้นผม หรือร่วงหล่นให้เห็นบนไหล่”
แต่อาการที่จะรุนแรงมากขึ้น คือผื่นแดง ผื่นคันบนหนังศีรษะ และมีสะเก็ดรังแคที่เล็กใหญ่ไม่สม่ำเสมอกัน เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่าเริ่มมีปัญหาโรคผิวหนังร่วมด้วย ซึ่งถ้าหากมีอาการเช่นนี้ ก็ควรที่จะต้องไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยอาการที่ถูกต้อง และหาแนวทางการดูแลรักษาที่เหมาะสม
ปัญหารังแคทั่วไปที่ไม่รุนแรงนัก ดูได้จากการลอกของหนังศีรษะ ที่จะเห็นเป็นสะเก็ดสีขาวเล็กๆ หลุดลอกอยู่บนหนังศีรษะ หรือ ร่วงหล่นลงมาติดตามเสื้อผ้า ในกรณีของปัญหารังแคที่รุนแรงกว่า ก็จะปรากฎให้เห็นสะเก็ดสีขาวที่มีแผ่นใหญ่กว่าเดิม และมีจำนวนที่มากขึ้น รวมถึงมีอาการคันมาก พบผื่นแดง และพบว่าหนังศีรษะแห้งมากร่วมด้วย อาการเหล่านี้บ่งชี้ว่าเริ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพหนังศีรษะ และควรได้รับการแก้ไขจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุด
ปัญหารังแคในกรณีที่มีอาการรุนแรง ควรต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสม และได้รับคำแนะนำจากแพทย์ รวมถึงอาจจำเป็นจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ หรือแชมพูยา ที่มีส่วนผสมของ คีโตโคนาโซล (ketoconazole) หรือ ซีลีเนียมซัลไฟด์ (Selenium Sulphide) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านเชื้อรา และรักษาการติดเชื้อราที่ผิวหนัง
แต่ถ้าเป็นรังแคธรรมดาทั่วไป เราก็สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง เรียกได้ว่าเป็นการดูแลรักษารังแคเบื้องต้น ที่ไม่เพียงแค่จะช่วยกำจัดรังแคได้เท่านั้น แต่ยังป้องกันไม่ให้มันกลับมาเป็นซ้ำอีกด้วย เพียงทำตามเคล็ดลับง่ายๆ ดังต่อไปนี้
ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะ เพราะการขาดน้ำจะส่งผลให้หนังศีรษะแห้ง ซึ่งจะทำให้การเป็นรังแคแย่ลงไปอีก จากอาการคันและการเกิดสะเก็ด นอกจากนี้ก็ไม่ควรลืมสวมหมวก หรือใช้ร่มในวันแดดจัด เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนที่ทำให้หนังศีรษะแห้ง รวมไปถึงการตกแต่งทรงผมที่มากเกินไป ก็นำไปสู่ผมแห้งได้ ควรพยายามใช้ไดร์เป่าผม ที่ม้วนผมไฟฟ้า และที่หนีบผมตรงให้น้อยที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายเส้นผม
เพื่อคงความเงางามและชุ่มชื้นของเส้นผม หนังศีรษะจะผลิต ซีบัม (น้ำมันตามธรรมชาติ) เพื่อเป็นชั้นสำหรับการปกป้องหนังศีรษะจากการสูญเสียความชุ่มชื้น แต่อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี เพราะน้ำมันส่วนเกินจะทำให้ผมมันและส่งผลให้เกิดรังแคได้ การรักษาระดับไขมันสามารถทำได้โดยการใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมให้น้อยที่สุด และล้างผมให้สะอาดเสมอ หลังจากสระด้วยแชมพู วิธีนี้จะกำจัดการสะสมของสิ่งตกค้าง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผมเกิดความมันมากเกินไป และยังทำให้ดูไม่สะอาดสะอ้านอีกด้วย
การขจัดรังแคด้วยวิธีธรรมชาตินั้นน่าทึ่งกว่าที่คิด เพราะการใช้อะไรที่เป็นธรรมชาติ ย่อมดีและอ่อนโยนต่อเส้นผมและหนังศีรษะของเราแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น การใช้น้ำส้มสายชูแอปเปิลไซเดอร์ชำระล้างหนังศีรษะ จะช่วยลดจำนวนจุลินทรีย์บนหนังศีรษะได้ หรือ จะใช้น้ำชาเขียวหมักผม ก็จะช่วยลดการเกิดรังแคและอาการคันบนหนังศีรษะ แถมยังช่วยบำรุงผมให้เงางามมากขึ้นด้วย หรือใครที่สนใจดูวิธีอื่นๆ เพิ่มเติม ก็สามารถเข้าไปดูกันได้ที่ วิธีขจัดรังแคแบบธรรมชาติ ค่ะ
การหมักผมและนวดหนังศรีษะก่อนสระผม (credit: shutterstock)
การปรนนิบัติหนังศีรษะมากขึ้นก็มีส่วนช่วยรักษารังแค วิธีง่ายๆ ทำได้สัปดาห์ละครั้งสองครั้งที่บ้าน ด้วยการหมักผมและนวดหนังศรีษะก่อนสระผม วิธีง่ายๆคือ หมักไว้สัก 15 นาทีหรือถ้ามีเวลายาวถึง 1ชั่วโมง นวดคลึงหนังศีรษะเบา ๆ สัก 3 นาที ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำเปล่าให้สะอาดและสระผมด้วยแชมพูตามปกติ โดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติ อย่าง น้ำมันมะพร้าว 3-5 ช้อนชา หยดลงบนหนังศีรษะหมักทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงก่อนล้างออก ว่านหางจระเข้ใช้เฉพาะเนื้อวุ้นสดโชลมทั่วศีรษะและนวดคลึงจนรู้สึกผิวหนังชุ่มชื้นค่อยล้างออก น้ำมันมะกอกสำหรับเส้นผม ใช้สัก 10 หยด และนวดให้ซึมลงไปในหนังศีรษะสวมหมวกคลุมผมทิ้งไว้ทั้งคืนแล้วตื่นมาสระผมในตอนเช้า หรือจะใช้น้ำมะนาวเลมอน 2 ช้อนชานวดให้ทั่วหนังศีรษะ และใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชาผสมน้ำเปล่า 1ถ้วยล้างผมก่อนจะสระผมตามปกติ วิธีนี้เป็นทั้งการทำความสะอาดหนังศีรษะ และเป็นการผ่อนคลายเพราะหนังศีรษะถูกกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ได้ผลลัพธ์สุขภาพดีทั้งเส้นผมหนังศีรษะช่วยให้การรักษารังแคมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในส่วนของการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จำพวก แชมพูขจัดรังแค ถึงแม้จะควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพหนังศีรษะและเส้นผมเป็นหลักก็จริง แต่ก็ยังต้องคำนึงถึงการรักษาอาการที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการขจัดรังแคด้วย ไม่ว่าจะอาการคันหนังศีรษะ หนังศีรษะแห้ง และหนังศีรษะมัน อย่างไรแล้วก็ลองมาดูกันดีกว่าว่า ผลิตภัณฑ์ไหนที่จะช่วยจัดการกับรังแคได้ดีที่สุดสำหรับอาการแต่ละแบบ
การเกาศีรษะเป็นประจำ ส่งผลให้มีบุคลิกภาพที่ไม่ดี แนะนำให้ใช้แชมพูที่ช่วยลดอาการคันจากรังแค อย่าง เคลียร์ ไอซ์คูล เมนทอล พร้อมครีมบำรุงผม ที่มีส่วนผสมของมินต์ ซึ่งเป็นสูตรที่จะช่วยทำให้หนังศีรษะเย็นสดชื่น และลดการคันให้น้อยลงได้
หากหนังศีรษะรู้สึกตึง เพราะหนังศีรษะแห้ง สภาพเช่นนั้นเกิดขึ้นได้เมื่อหนังศีรษะสูญเสียความชุ่มชื้นมากเกินไป เนื่องจากปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น อากาศเย็น เชื้อรา หรือแม้แต่การขาดน้ำ แนะนำให้ใช้แชมพูอย่าง เคลียร์ คอมพลีท ซอฟต์แคร์ และครีมบำรุงผม ที่จะช่วยคงความชุ่มชื้นของเส้นผมเอาไว้ ด้วยกรดอะมิโนที่มีประสิทธิภาพในการบำรุงดูแลและทำให้หนังศีรษะชุ่มชื้น
โดยปกติหนังศีรษะของผู้ชายจะผลิตไขมันมากกว่าหนังศีรษะผู้หญิงถึง 60% ซึ่งก็จะทำให้หนังศีรษะของผู้ชายจะมันและง่ายต่อการเกิดรังแคได้มากกว่า แนะนำให้ใช้แชมพูสูตรพิเศษ อย่าง เคลียร์ เมน คูลสปอร์ต เมนทอล จะช่วยจัดการความมันและไขมันส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมเกราะป้องกันหนังศีรษะ ไม่ให้จากรังแคกลับมาเป็นซ้ำอีกด้วย
ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมช่วยให้ดูดีก็จริง แต่การใช้มากเกินไปอาจนำไปสู่การสะสมของสิ่งสกปรก ความมัน และสิ่งตกค้างต่างๆ ที่อาจอุดตันรูขุมขนบนหนังศีรษะจนเกิดรังแคได้ง่าย ในการแก้ปัญหาแบบเร่งด่วน ควรใช้ เคลียร์ เมน ดีพคลีนส์ สูตรผสมแอคทิเวตเตทคาร์บอนและเปลือกส้ม เพื่อการทำความสะอาดหนังศีรษะอย่างล้ำลึกทั่วถึง ให้ความรู้สึกสะอาดสดชื่น
สำหรับใครที่ประสบปัญหารังแคอยู่ ก็ลองทำตามขั้นตอนการรักษารังแคเหล่านี้ดู เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง รับรองว่าเพียงไม่นานอาการรังแคที่มีก็จะหายไปในที่สุด ส่วนใครที่มีอาการรังแคที่รุนแรง โดยมีอาการเกี่ยวกับโรคผิวหนังร่วมด้วย เราก็แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุดนะคะ